บทความวิทยาศสตร์



ภาวะมาลาเรียขึ้นสมองจะทำให้ผู้ป่วยไข้ขึ้นสูงและ
เกิดอาการช็อคหมดสติ ซึ่งถือเป็นอาการขั้นรุนแรงที่สุดของโรคมาลาเรียก็ว่าได้ ประมาณกันว่าราว 20-50% ของผู้ป่วยที่สมองติดเชื้อมาลาเรียจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าในแต่ละปีมีผู้ได้รับเชื้อมาลาเรียทั่วโลกเกือบ 300 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ

คณะนักวิจัยที่สถาบันการแพทย์เขตร้อน Bernhard Nocht ในเยอรมนี และที่มหาวิทยาลัย Kumasi ในกาน่าศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กมากกว่า 6 พันคน พบว่าเด็กที่มียีนผิดปกติชนิดหนึ่งเรียกว่ายีน FAS จะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะมาลาเรียขึ้นสมองลดลงราว 30% เทียบกับเด็กที่ไม่มียีนดังกล่าว นักวิจัยชี้ว่ายีน FAS ที่ว่านี้มีหน้าที่ควบคุมโมเลกุลที่เกี่ยวโยงกับการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันที่คอยโจมตีหรือทำลายเชื้อโรคที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย

คุณ Kathrin Schuldt นักชีววิทยาผู้ร่วมจัดทำรายงานวิจัยชิ้นนี้ตั้งสมมติฐานว่า เด็กที่มีอาการมาลาเรียขึ้นสมองนั้นเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อเชื้อโรคมากเกินไป เมื่อถูกยุงกัดบ่อยๆ ภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงโต้ตอบในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัดเชื้อโรคเหล่านั้น แต่นักวิจัยผู้นี้ชี้ว่าสำหรับเด็กที่มียีนผิดปกติ FAS นั้นจะมีโมเลกุลที่เรียกว่า CD95 เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสลายตัวไปเองเป็นจำนวนมาก จึงลดความรุนแรงของการตอบสนองต่อเชื้อโรค ช่วยให้มีเซลล์ภูมิคุ้มกันบางส่วนเหลือรอดจากการโจมตีเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

คุณ Schuldt ระบุว่า เด็กที่มียีนผิดปกติดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี้ จึงเปรียบเสมือนมีตัวควบคุมไม่ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อเชื้อโรคในแต่ละครั้งมากเกินไป แต่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งกลายเป็นเหมือนเกราะป้องกันภาวะมาลาเรียขึ้นสมองได้ในที่สุด นักวิจัยผู้นี้อธิบายว่าโดยปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะไม่สร้างภูมิคุ้มกันโรคมาลาเรียอย่างเต็มที่ในเวลาอันสั้น แต่จะค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ เมื่อถูกยุงกัดบ่อยขึ้นๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่จึงเจ็บป่วยจากโรคมาลาเรียน้อยกว่าเด็กเล็กๆ

คุณ Schuldt ระบุว่า สิ่งที่นักวิจัยต้องค้นคว้าต่อไปคือกระบวนการสร้างเกราะป้องกันภาวะมาลาเรียขึ้นสมองของยีนผิดปกติที่ว่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การคิดค้นยาหรือวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรียได้ในที่สุด

สำหรับรายงานเรื่องนี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสารออนไลน์ PLoS Genetics.
แหล่งข้อมูล
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=25785&sid=774eecc899bdbefe11f3f1cd305eae63

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


boonrot

สถานะ : ผู้ใช้ลงทะเบียน
สามัญสัมพันธ์