๑ วิชา ปฏิบัติงานบริการคอมพิวเตอร์

ปฏิบัติงานบริการคอมพิวเตอร์

  1. 1.              การเลือกประเภท หรือรูปแบบธุรกิจหรืออาชีพของตนเอง 

รูปแบบธุรกิจงานบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง

     2.    การเลือกตำแหน่งทำเลร้านค้า 

การทำการค้าบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้น การเลือกทำเลเพื่อเป็นที่ตั้งร้านค้าของเรา มีส่วนสำคัญต่อการประสบความสำเร็จของธุรกิจ โดยเฉพาะร้านค้าเล็กๆแบบเรา จำเป็นจะต้องเช่าที่ที่ตั้งร้านค้าของเรา ที่ตั้งร้านค้าของเรานี้ เราเรียกว่า เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) เป็นสถานที่ที่เว็บไซต์ต่างๆ ได้นำมาฝากไว้ เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นๆ มีตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ต และให้บริการแก่ผู้คนเข้าเยี่ยมชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการเลือกที่ที่ตั้งร้านค้าของเราจึงจำเป็นที่จะต้องค้นหาเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ให้ดี เพราะว่าถ้าเราเลือกเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ที่มีระบบการบริการต่างๆ ไม่ดี ก็จะมีผลต่อการค้าขายของคุณบนอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นถ้าคุณเลือกเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ได้ดีพอ เช่นมีการถ่ายโอนข้อมูลช้า ไม่มีความปลอดภัย เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) หล่มบ่อย มีการจำกัดการเข้าเยี่ยมชม สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของคุณบนอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน เรามาดูกันนะครับว่า การพิจารณาเลือกเช่าเว็บโฮสติ้ง(Web hosting) ว่าควรเลือกอย่างไรให้ได้เว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ที่ดีที่สุด (เท่าที่เราจะหาได้) เพื่อธุรกิจของเรา เราต้องพิจารณาเลือกดังต่อไปนี้ครับ

  1. ความปลอดภัยของเครือข่ายและข้อมูล (Security) ความปลอดภัยด้านระบบข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต เพราะมันจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเรา ถือเป็นหัวใจหลักในการทำการค้าบนอินเทอร์เน็ตอีกอย่างหนึ่งเลยหละครับ
  2. จำนวนเนื้อที่ที่ให้เช่าเก็บข้อมูล (Web Space): เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่เช่าที่จำกัด ตามแต่ละบริษัทที่ให้บริการกำหนด เช่น ให้เช่าพื้นที่ขนาด 50 MB., 250 MB. หรือ 500 MB. ไปจนถึงขนาด 1 GB.  ในการเลือกแน่นอนครับเราต้องเลือกเช่าเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ที่ให้บริการพื้นที่ไม่จำกัด พื้นที่ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น (เพื่ออนาคต) แต่ต้องดูอย่างอื่นด้วยนะครับ ไม่ใช่ให้พื้นที่ไม่จำกัดแต่ไปจำกัด การถ่ายโอนข้อมูล เป็นต้น
  3. ราคา (Price) ผมถือว่าสิ่งแรกที่เราดูน่าจะเป็นเรื่องราคา ว่าราคาเป็นอย่างไร ถูกกว่าหรือแพงกว่าเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ที่เราไปดูมาแล้ว เรื่องราคานี้จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ ยิ่งธุรกิจเล็กแบบเราๆ สิ่งนี้จำเป็นต้องพิจารณาในระดับต้น ๆ เลยหละครับ
  4. พิจารณาในเรื่องของโปรแกรมสนับสนุน (Programming Support) เพราะเมื่อเราสร้างร้านค้าแล้วโปรแกรมประมวลผลพิเศษที่เรานำมาสร้างส่วนของระบบตะกร้าหรือShopping Cart นั้นต้องอาศัยโปรแกรมประมวลผลพิเศษเช่น PHP, ASP หรือ CGI ทำให้ร้านค้าของเราทำมาค้าขายได้โดยไม่ต้องจ้างพนักงานขาย ดังนั้นเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ที่เราเช่าควรที่จะสนับสนุนโปรแกรมส่วนระบบตะกร้าของเรา
  5. ความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth): ควรเลือกเว็บโฮสติ้ง(Web hosting) ที่มีความกว้างของช่องสัญญาณเป็นแบบ T-3 เพื่อความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลร้านค้าของเรา ลูกค้าคงเบื่อมากถ้าต้องรอการโหลดข้อมูลของร้านเราเป็นเวลานาน และเขาอาจเปลี่ยนใจไปซื้อของจากร้านค้าคู่แข่งของเรา
  6. การถ่ายโอนข้อมูล (Traffic & Transfers) ในส่วนนี้เราควรเลือกเว็บโฮสติ้ง(Web hosting) ที่ให้บริการการถ่ายโอนข้อมูล (Traffic & Transfers)แบบไม่จำกัด(Unlimited)ดีที่สุดครับ แต่ส่วนใหญ่เท่าที่พบมักจะจำกัดการถ่ายโอนข้อมูล อยู่ที่ 2GB. หรือ 3GB. แล้วแต่ Plan ที่เราเลือกเช่าครับ
  7. จำนวนอีเมล์ (E-Mail account,) ซึ่งจำนวนอีเมล์ที่ได้รับยิ่งมากยิ่งดีครับ เพราะว่าอีเมล์เป็นปัจจัยสำคัญในการติดต่อสื่อสารในโลกอินเทอร์เน็ต ยิ่งมีอีเมล์มากเราก็สามารถที่จะแบ่งให้ทีมงานของเราใช้ในการติดต่อลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
  8. การบริการช่วยเหลือ (Problem Support) ควรจะมีการบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งทางอีเมล์ ทางโทรศัพท์ ไม่ควรเลือกที่โทรไปแล้วให้ถือโทรศัพท์คอยจะดนตรีบรรเลงที่เขาเปิดตอนที่เขาให้เรารอ เล่นจบไปไม่รู้กี่รอบจนแทบจะจำได้เลยว่าเมโรดี้ของดนตรีเป็นอย่างไร หรืออีเมล์ไปที่ไร ไร้ซึ่งคำตอบ เมล์ไปหาย เมล์ไปหาย
  9. มีแผนการ Up grade ซอฟแวร์ประจำปี สิ่งนี้ก็สำคัญครับ ถ้าเราเช่าไปเรื่อยๆ แต่ เว็บโฮสติ้ง(Web hosting) ที่เราเช่าไม่มีการปรับปรุงในตัวซอฟแวร์ให้ใหม่ขึ้นก็เท่ากับว่าธุรกิจของคุณเริ่มถอยหลังแล้วเช่นกัน
  10. ปัจจัยอื่นๆ (Others): ควรเลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ที่มองการณ์ไกล มีบริการต่างๆ มีแผนการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของอินเตอร์เน็ตและและการทำธุรกิจ และเรายังต้องคอยสอบถามกับผู้ที่เคยใช้บริการเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)รายนั้นๆ ว่ามีการให้บริการอย่างไร การสอบถามจากผู้ที่ได้เคยใช้บริการเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)นั้นๆมาแล้ว ย่อมได้รับคำตอบที่จริงมากกว่าคำโฆษณาที่อยู่ข้างหน้าเว็บ ผมเคยเจอปัญหาเรื่องเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ไม่ยอมให้ผมรันสคลิป CGI (Common Gateway Interface) ผมก็บอกว่ามันจำเป็นที่จะต้องใช้ แต่ทางเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ก็เมล์มาให้ผมเลิกใช้ ผลสุดท้ายตกลงกันไม่ได้ผมก็เลยย้ายเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)มาอยู่ที่ใหม่ ดังนั้นการเลือกเช่าเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)นั้นควรที่จะต้องดูให้ดีถึงการจู้จี้จุกจิกในเรื่องการรันสคริป เช่น PHP, ASP ได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะจู้จี้ในเรื่องนี้มาก เพราะการรันสคริปต่างๆ จะทำให้Serverทำงานหนักขึ้นทางเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)จึงไม่ให้รันและต้องมีระบบช่วยเหลือต่างๆ ของเว็บโฮสติ้ง(Web hosting) เพื่อให้เราสามรถทำงานได้ง่ายหรือบริการหลังการขายของเว็บโฮสติ้ง(Web hosting)ว่าบริการดีหรือไม่ ถ้ามีระบบบริการที่ดี ผมว่าคงอยู่กันจนแก่กันไปข้างหนึ่งเลยนะครับ

 

  1. 3.              การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 

การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะต้องรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราอย่างรอบคอบว่าใครกันแน่คือคนที่จะมาซื้อสินค้า และบริการ อายุเท่าไร สถานะทางการสมรสเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ชอบใช้เวลาว่างทำอะไร งานอดิเรกที่ชอบคืออะไร ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ซื้อใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือในช่วงวันหยุดชอบที่จะเดินทางไปไหน เหล่านี้เป็นต้นถ้าต้องการทำตลาดในสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจจำเป็นต้องพัฒนาตลาดเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น จงหา “ลูกค้าในอุดมคติ” ให้พบ มองเห็นภาพของคนเหล่านั้นให้ทะลุปรุโปร่งถึงรายละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร คิดอย่างไร และต้องการอะไร แต่ถ้าในกรณีที่ไม่สามารถมองเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน จำเป็นที่จะต้องทำการวิจัยลูกค้าเป้าหมายเสียก่อน ทั้งนี้เพราะถ้าไม่ชัด ก็จะไม่สามารถทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการตลาดว่าจะทำอย่างไร ที่ไหน และเมื่อไร ก่อนที่จะทำการวิจัยลูกค้าเป้าหมาย ธุรกิจจะต้องกลั่นกรองคัดเลือกสินค้าและบริการที่คิดว่าจะนำมาทำตลาด ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการทำทุกสิ่งเพื่อทุกคน แต่ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่า รวมทั้ง ต้องรู้ว่าสินค้าและบริการของตนจะสามารถตอบสนองเหตุผลพื้นฐานของคนเราในการซื้อสินค้าและบริการอะไรบ้างใน 3 ประการ ได้แก่ เพื่อตอบสนองความจำเป็นหรือความต้องการพื้นฐาน เพื่อแก้ไขปัญหา หรือเพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น และเตรียมความพร้อมสำหรับทำการตลาดที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของสินค้า และบริการในการตอบสนองเหตุผลเหล่านั้นได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่มีเพียงเหตุผลเดียว

 

  1. 4.              ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้น รวมทั้งรายการวัสดุ-อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในสำนักงาน หรือร้านค้า 

ต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่

เงินลงทุนที่ต้องใช้สำหรับเริ่มต้นธุรกิจ คือ เงินลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจอันได้แก่ ค่าเช่าอาคาร ค่าตกแต่งต่อเติมค่าซื้อเครื่องใช้สำนักงานค่าใช้จ่ายเริ่มแรกขณะเริ่มต้นธุรกิจค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการตลาด การโฆษณาตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภคและเงินเดือนพนักงาน ด้วยเหตุนี้จึงควรทำแผนงานเปิดกิจการอันประกอบด้วย การประมาณค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่จะเกิดขึ้นและต้นทุนที่จ่ายไปเมื่อเริ่มต้นกิจการ ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของการใช้เงินลงทุนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

สมมุติว่าเราได้คำนวณเงินลงทุนในการซื้อเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน ได้ตัวเลขออกมาประมาณ 300,000 บาท จากนั้นเราต้องคำนวณดูว่า ในแต่ละเดือนเราจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง รวมแล้วเป็นจำนวนเงินเท่าใด

: สรุปค่าใช้จ่ายรายเดือน

ค่าใช้จ่ายคงที่

เงินเดือน 30,000

ค่าเช่าสำนักงาน 10,000

ค่าเช่าอุปกรณ์สำนักงาน 5,000

ค่าโฆษณา 5,000

รวมค่าใช้จ่ายคงที่ 50,000

ค่าไฟฟ้า 1,000

ค่าโทรศัพท์ 2,000

ค่าอินเทอร์เน็ต 500

รวมค่าใช้จ่ายผันแปร 5,000

รวมค่าใช้จ่าย 55,000

 

  1. 5.            การจดทะเบียนร้านค้า 

การจดทะเบียนร้านค้า จะต้องกำหนดก่อนว่า กิจการที่เราจะทำนั้น เป็นการขายสินค้าหรือเป็นงานบริการ หากเป็นงานบริการอย่างเดียว ที่กรมพัฒนาฯ จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนเป็นร้านค้า  จะให้จดทะเบียนเฉพาะการขายสินค้า หรือสินค้าแล้วมีงานบริการพ่วงด้วย

ในกรณีที่เป็นการขายสินค้า ก็ให้เตรียมสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน แล้วโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ณ สำนักงานจดทะเบียนในเขตที่คุณอาศัยอยู่

ในกรณีที่เป็นงานบริการ คุณสามารถดำเนินการค้าได้เลย โดยอาจจะกำหนดชื่อร้านค้าอะไรก็ได้แล้วแต่คุณกำหนด แต่เมื่อคุณค้าขายครบปี ก็ให้ยื่นแบบเพื่อเสียภาษีให้สรรพากร ส่วนในปีต่อไป ก็ต้องยื่นภาษี 2 ครั้งต่อปี  ( ภงด.94 ภาษีครึ่งปี , ภงด.90 ภาษีทั้งปี) 

การเสียภาษีจะเป็นการเสียแบบเหมาจ่ายครับ แล้วแต่ประเภทของธุรกิจ

ตัวอย่าง หากเป็นการซื้อมาขายไป/รับจ้างเหมา ก็เหมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ 70-80% เหลือ 30-20% เอาไปคำนวนภาษี โดยสามารถค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนส่วนตัวได้อีก

การจดทะเบียนร้านค้า สามารถจดทะเบียนได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจฯ ในเขตกรุงเทพก็จะมีอยู่ 7 แห่งด้วยกัน ได้แก่

1.สำนักงานบริการจดทะเบียน1ปิ่นเกล้า 02-622-0570-72

2.สำนักงานบริการจดทะเบียน2พหลโยธิน 02-618-3340-41

3.สำนักงานบริการจดทะเบียน3รัชดาภิเษก02-276-7259-61

4.สำนักงานบริการจดทะเบียน4 สุรวงศ์ 02-630-4696-7

5.สำนักงานบริการจดทะเบียน5 รามคำแหง 02-276-7255-57

6.สำนักงานบริการจดทะเบียน6 ศรีนครินทร์ 02-722-8366-6

7.สำนักงานบริการจดทะเบียน7 แจ้งวัฒนะ 02-276-7250-51

 

จดทะเบียนตั้งใหม่ มีเอกสารดังนี้
        1. คำขอจดทะเบียน :แบบ ทพ. (Print – out 2 แผ่น)
        2. หลักฐานประกอบคำขอ
                2.1 สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ประกอบพาณิชยกิจ หรือ หุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้รับผิดชอบดำเนิน กิจการในประเทศไทย (กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ) ซึ่งรับรองความถูกต้องโดยเจ้าของบัตรประจำตัว
                2.2 หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
                2.3 กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
                2.4 สำเนาเอกสารแสดงการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งมีรายการเกี่ยวกับชื่อ วัตถุที่ประสงค์ ทุน ที่ตั้งสำนักงาน รายชื่อกรรมการ และอำนาจกรรมการ
                2.5 หนังสือแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินกิจการในประเทศ
                2.6 ใบอนุญาตทำงานของผู้รับผิดชอบดำเนินกิจการในประเทศ (กรณีเป็นบุคคลต่างด้าว)
                2.7 ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือหนังสือรับรองการใช้สิทธิตามสนธิสัญญา (ถ้ามี)
เอกสารตามข้อ 2.4 และข้อ 2.5 หากทำขึ้นในต่างประเทศ จะต้องมีคำรับรองของโนตารีพับลิคหรือบุคคลซึ่ง 

การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 

ประเภทบุคคลธรรมดา

มีลักษณะเป็นกิจการที่มีเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา คนเดียวหรือหลายคน หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ประเภทไม่จดทะเบียน

            ผู้ประกอบธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ประเภทบุคคลธรรมดา ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์

            ประเภทนิติบุคคล  บริษัทจำกัด  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 

            ผู้ประกอบการธุรกิจต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

      สถานที่ยื่นขอจดทะเบียน

 กรุงเทพฯ  ยื่นขอจดทะเบียน ณ สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 1 - 7  และส่งจดทะเบียนธุรกิจกลาง 

 สำนักทะเบียนธุรกิจ  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  กระทรวงพาณิชย์

 ต่างจังหวัด  ยื่นขอจดทะเบียน ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด  ที่ห้างหุ้นส่วนบริษัทมี

 สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่

 

  1. 6.      การเปิดบัญชีธนาคาร 

 

1. เริ่มแรกเราต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทยก่อน สาขาไหนก็ได้ครับ(ในกรณีที่เรามีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทยอยู่แล้วให้ข้ามไปข้อ 3. ได้เลยครับ)นะครับถ้ายังไม่มีมีให้เราไปเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทย โดยหลักฐานที่ต้องนำไปด้วยเพื่อใช้ในการเปิดบัญชี คือ บัตรประจำตัวประชาชนครับ แล้วเงินฝากขั้นต่ำในการเปิดบัญชีคือ 500 บาท ถ้าจะทำบัตรเอทีเอ็มด้วยก็เอาเงินไปเพิ่ม อีก 300 บาทเป็นค่าบริการบัตรเอทีเอ็มครับ(ปีละ 300 บาท) โดยบัตรเอทีเอ็มเราจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ถ้าทำบัตรเอทีเอ็มด้วยก็จะใช้จ่ายเงินในการเปิดบัญชีรวมทั้งหมด 800 บาท ครับ

2. หลังจากเตรียมหลักฐานเรียบร้อยแล้วให้เราไปที่ธนาคารกสิกรสาขาไหนก็ได้ครับโดยไปบอกกับทางธนาคารว่ามาเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แล้วก็บอกทางธนาคารอีกว่าขอสมัครเป็นสมาชิก K-Cyber Banking ในการเป็นสมาชิกของ K-Cyber Banking นั้นสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ฟรีนะครับ ไม่เสียค่าใช่จ่าย และเราต้องมี e-mail ของตัวเองด้วยเพราะในการสมัครทางธนาคารจะส่งรายละเอียด การเข้าใช้บริการ K-Cyber Banking มาทาง e-mail  โดยการสมัคร K-Cyber Banking จะใช้เวลาดำเดินการอนุมัติประมาณ 3-7 วัน เท่านี้เราก็จะสามารถใช้บริการของ K-Web Shopping Card ได้แล้ว ส่วนวิธีการสมัคร K-Web Shopping Card จะอยู่ในหัวข้อถัดไปครับ

3. ในกรณีที่เราบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทยอยู่แล้ว ให้ไปธนาคารสาขาไหนก็ได้โดยนำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนกับสมุกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไปด้วย แล้วไปบอกทางธนาคารว่าขอสมัครเป็นสมาชิก K-Cyber Banking ในการเป็นสมาชิกของ K-Cyber Banking นั้นสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ฟรีนะครับ ไม่เสียค่าใช่จ่าย และเราต้องมี e-mail ของตัวเองด้วยเพราะในการสมัครทางธนาคารจะส่งรายละเอียด การเข้าใช้บริการ K-Cyber Banking มาทาง e-mail ครับ โดยการสมัคร K-Cyber Banking จะใช้เวลาดำเดินการอนุมัติประมาณ 3-7 วันครับ เท่านี้เราก็จะสามารถใช้บริการของ K-Web Shopping Card ได้แล้ว ส่วนวิธีการสมัคร

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 7.      การเลือกซื้อสินค้ามาทำธุรกิจ 

1.   ต้องดูดที่ราคาและคูณะภาพการทำงานอาทิเช่นการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่า


 

 

 

 

ความเร็วในการทำงาน

         ถ้ามาว่ากันถึงเรื่องของเร็ว ก็ต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นยิ่ง เพราะความเร็วของเครื่องแบบเดสก์ท็อปยิ่งมีความเร็วมากขึ้นเท่าไร ก็จะส่งผลให้เครื่อง คอมพิวเตอร์แบบ "โน้ตบุ๊ก" เร็วขึ้นตามไปด้วย และในปัจจุบันมันก็มีความเร็วใกล้ระดับ 3GHz เข้าไปทุกทีแล้ว ซึ่งล่าสุดนั้นมีความเร็วอยู่ที่ระดับ 2.8GHz ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นซีพียูจากอินเทลเป็นแน่แท้ ซึ่งในบ้านเราก็ค่อนข้างที่จะหาซื้อได้ยากสักหน่อย แต่ส่วนหนึ่งที่ได้กลับมานั้นก็คือเรื่องของประสิทธิภาพที่ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และก็สามารถที่จะทำงานได้เท่าๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท็อปอย่างสบายๆ เลยทีเดียว และระดับความเร็วของซีพียูก็จะ เป็นส่วน หนึ่งที่จะเป็นตัวกำหนดราคาของโน้ตบุ๊กรุ่นนั้นๆ ด้วย และอีกตัวหนึ่งที่จะมาเป็นตัวกำหนดก็คือในส่วนของออปชันต่างๆ ที่โน้ตบุ๊กรุ่นนั้นๆ จะพึงมีมาให้ครับ ถ้ามีทุนทรัพย์ที่เพียงพอและพอเพียงก็น่าจะมองๆ ไปที่ระดับความเร็วที่ 2GHz ไปเลยก็น่าที่จะเป็นเรื่องที่ดีอยู่มิใช่น้อยเลยทีเดียวเชียวครับ แต่ถ้าทุนน้อยก็ ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรจะต่ำกว่า 1.6GHz นะครับ ซึ่งโดยรวมๆ แล้วนั้นก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำไปใช้งาน

เรื่องของหน่วยความจำ

         โน้ตบุ๊กในยุคปัจจุบันได้ถูกพัฒนาขีดความสามารถให้รองรับและสนับสนุนการอัปเกรดได้พอสมควร ต่างกับโน้ตบุ๊กยุคเก่า ที่กว่าจะเข้าไปทำการเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนตัวหน่วยความจำนั้น จะทำได้ค่อนข้างยุ่งยากและลำบา รวมทั้งจะติดกับเรื่องของเงื่อนไขในการรับประกัน แต่ในปัจจุบันปัญหาตรงนั้นได้หมดสินไป แล้ว ซึ่งในสมัยนี้ถ้าคุณต้องการจะเพิ่มเติมในส่วนของหน่วยความจำก็สามารถที่จะทำได้ง่ายดายกว่าแต่ก่อนมาก เพียงแต่คุณต้องดูก่อนว่า โน้ตบุ๊กรุ่นนั้นๆ มีจำนวนของช่องสำหรับเสียบหน่วยความจำมาให้ทั้งหมดจำนวนกี่ช่อง และในแต่ละช่องสามารถที่จะรองรับขนาดของหน่วยความจำได้มากที่สุดเท่าไร ในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วโน้ตบุ๊กจะติดตั้งหน่วยความจำมาให้อย่างน้อยก็ 128MB ซึ่งในบางรุ่นบางยี่ห้อก็จะให้มามากถึง 512MB กันเลยทีเดียว แต่ก็แน่นอน ว่าราคาค่าตัวของรุ่นนั้นๆ ก็จะสูงตามไปด้วย และในส่วนของตัวหน่วยความจำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะโน้ตบุ๊กในรุ่นที่ไม่มีกราฟิกแยกออกมาต่างหาก จะต้องมีการแชร์หน่วยความจำหลักเพื่อไปใช้งานส่วนหนึ่งด้วย เพื่อมิให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบนั้นด้อยลงไปมากนัก ก็ควรที่จะเล็งๆ ไปที่ระดับ 256MB ก็จะดีอยู่มากๆ เลยทีเดียว และสำหรับในรุ่นที่มีกราฟิกชิปต่างหากนั้น มีให้เพียง 128MB ก็เพียงพอแล้วละครับ เพราะคุณไม่ต้องไปแชร์ให้เสีย อารมณ์ครับ

จอภาพ
         วิวัฒนาการของจอภาพแบบแอลซีดีได้ถูกพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้เราได้เห็นคุณภาพของแอลซีดีที่มีมุมมองได้ในทุกๆ ด้าน ในการเลือกนั้น คุณควรจะมองหาโน้ตบุ๊กที่มีจอภาพเป็นแบบ Active Matrix Display ซึ่งด้วยเทคโนโลยีที่ว่านี้จะทำให้ได้ภาพที่คมชัดและสว่างกว่าแบบ Passive Matrix

อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล

         

 

 

 

 

คีย์บอร์ด

         คีย์บอร์ดเป็นอีกหนึ่งส่วนที่คุณไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะในบางครั้งเรามัวแต่ให้ความสำคัญกับส่วนประกอบอื่นๆ มากจนเกินไป จนลืมนึกถึงเรื่องของ สิ่งที่เราจะต้องสัมผัสกับมันมากที่สุดในระหว่างการทำงาน คีย์บอร์ด ที่มีการออกแบบมาเป็นอย่างดีจะช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าจะ ไม่มีความเร็วสูงๆ แต่ถ้าโน้ตบุ๊กมีความเร็วแต่ออกแบบคีย์บอร์ดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ใช้งานได้อย่างติดๆ ขัดๆ ปุ่มที่ควรจะอยู่ใกล้ก็ดันไปอยู่ซะไกล แบบนี้ต่อให้ เครื่องเร็วแค่ไหนก็ทำงานได้ช้าอยู่ดี เพราะว่าเราต้องมาคอยจดๆ จ้องๆ ว่าปุ่มที่ต้องการมันอยู่ไหน โดยเฉพาะกับคนที่พิมพ์ดีดแบบสัมผัส ในการใช้คีย์บอร์ด ของโน้ตบุ๊กจะไม่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนการใช้งานคีย์บอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท็อป แต่ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กก็ไม่ลืมที่จะใส่ความจำเป็นต่างๆ ไว้อย่างครบครัน สิ่งหนึ่งที่ควรจะมองหาในคำแนะนำอีกอย่างหนึ่งเวลาเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก คือพยายามหาคีย์บอร์ดที่คุณคิดว่าจะใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่นาน อย่างคีย์บอร์ดที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องของเดสก์ท็อป มองหาคีย์บอร์ดที่มีปุ่มวินโดวส์ในตำแหน่งที่เหมาะสม และปุ่มที่ใช้งานบ่อยๆ อย่าง Insert, Delete กับ Home ซึ่งควรจะอยู่ในตำแหน่งที่ด้านขวาบนของคีย์แพดของโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ กับคีย์บอร์ดของเดสก์ท็อปทั่วๆ ไปด้วย และควรจะเช็คด้วยว่า ปุ่มฟังก์ชันการทำงานนั้น สามารถทำงานไดตามชื่อที่มันระบุไว้ด้วย เอาเป็นว่าก่อนซื้อคุณก็ลองวางมือแล้วพิมพ์ข้อความต่างๆ ดูว่า มันใช้งานได้คล่องถนัดมือ หรือไม่อย่างไร แต่ถ้าคุณมีทางเลือกไม่มากนัก บางครั้งก็อาจจะต้องมองข้ามประเด็นนี้ไป แล้วอาศัยเวลาทำความคุ้นเคยกับมัน ของอย่างนี้เป็นความถนัดและ ความชอบของแต่ละบุคคลไปครับ จะมีใครไปบังคับก็หาไม่

อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง

         สำหรับโน้ตบุ๊ก อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งมันก็คือส่วนที่จะทำหน้าที่แทนเมาส์นั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กจะมีอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งติดตั้ง มาให้เลย โดยจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสองสามแบบ ในแบบแรกก็จะเป็นเหมือนแทร็กบอล โดยจะมีลูกกลิ้งโผล่ขึ้นมาตรงกลางที่วางมือของคุณ เพื่อให้คุณได้ใช้ นิ้วหัวแม่มือกลิ้งไปกลิ้งมา เพื่อทำการควบคุมตำแหน่งของเคอร์เซอร์ แบบที่สองก็จะเป็นแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด ซึ่งก็คือ ทัชเพด ส่วนมากจะถูกวาง ว้ใน ตำแหน่งตรงกลางเยื่องไปทางซ้ายของด้านล่างของคีย์บอร์ด ซึ่งจะเป็นแผ่นเรียบๆ ที่ให้เราใช้นิ้วมือ โดยมาจะเป็นนิ้วชี้ บางคนก็จะใช้นิ้วหัวแม่มือ ลากไปลากมา บนแผ่นทัชเพด ซึ่งก็สามารถที่จะควบคุมตำแหน่งของเคอร์เซอร์ได้เช่นกัน และอีกแบบที่ค่อนข้างจะไม่ได้เห็นกันมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็คือ "พอยน์เตอร์สติ๊ก" มันจะมีลักษณะเป็นแท่งเล็กๆ เหมือนจอยสติ๊กที่ใช้โยกไปมา แต่ว่ามันจะมีขนาดที่เล็กมากๆ ตำแหน่งที่อยู่ของมันก็ไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ก็คือมันจะอยู่ตรงกลาง คีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊ก วิธีการใช้งานก็คือใช้นิ้วดันมันไปในทิศทางต่างๆ ที่ต้องการ ซึ่งบางคนก็ว่าเป็นอุปกรณ์การชี้ตำแหน่งที่ใช้งานยากที่สุด คือควบคุมไม่ค่อย ได้ดังใจ ซึ่งจะต้องทำความคุ้นเคยมากกว่าอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งแบบอื่นๆ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคลอีกนั่นแหละครับ แต่ถ้าให้ ผมเลือก ผมเลือกใช้เมาส์เสียบเข้ากับพอร์ต USB ครับ เพื่อความถูกต้องและแม่นยำ รวมทั้งยังมีความรวดเร็วมากกว่าด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีพื้นที่ในการวางที่พอ สำหรับการใช้งานครับ

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่

         แบตเตอรี่เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยหลักในการทำงานของโน้ตบุ๊ก เพราะการที่แบตเตอรี่หมดกลางคัน ถือว่าเป็นเรื่องที่คนใช้โน้ตบุ๊กไม่พึงประสงค์เป็น อย่างมากเลยทีเดียว ยิ่งตอนกำลังจะเซฟงานที่มีความสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินด้วยแล้ว ยิ่งต้องเน้นในเรื่องนี้ให้จงหนักเลยครับ วิธีการที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างหนึ่งก็คือ การตรวจสอบ Power Supply หรือทรัพยากรพลังงานของคุณอยู่เป็นประจำ ซึ่งคุณ สามารถทำได้โดยใช้เกจ์วัดแบตเตอรี่ที่อยู่แถวๆ ทาส์กบาร์ของวินโดวส์นั่นแหละครับ ต้องดูกันบ้างอย่าทำงานจนเพลิน เพราะโน้ตบุ๊กบางรุ่นไม่มีเสียงเตือนเมื่อ แบตเตอรี่กำลังจะหมด มันจะดับไปเฉยๆ และปล่อยให้คุณโวยวายเพียงฝ่ายเดียว แต่เจ้าโน้ตบุ๊กของคุณจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ ทำหน้ามืด (จอดับ) ให้คุณดูเท่านั้น ถ้าไม่เป็นเรื่องที่หนักหนาจนเกินไปนัก และคุณมีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานในสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง หรือไม่สามารถ ที่จะเสียบปลั๊กได้ ก็ควรที่จะซื้อแบตเตอรี่สำรองไว้อีกสักก้อน ถึงแม้ว่าราคาค่าตัวของมันจะไม่ธรรมดาก็ตามที "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" ครับ

 

 

 

 

 

  1. 8.   การคิดราคาต้นทุน และกำไร 

การคิดราคาต้นทุน
      หมายถึง การคิดคำนวณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้น เพื่อไม่ให้ เกิดปัญหาภาวะขาดทุน การคิดราคาต้นทุนมีประโยชน์ ดังนี้

 1. สามารถตั้งราคาขายได้ และรู้ได้ว่าจะทำกำไรเท่าไร
     2. สามารถรู้ว่ารายการใดที่ก่อให้เกิดราคาต้นทุนมาก และจะลดราคาต้นทุนลง เพื่อให้ได้ กำไรเพิ่มมากขึ้นได้หรือไม่
     3. รู้ถึงราคาต้นทุนวัตถุดิบแต่ละอย่าง เพื่อนำไปปรับปรุงและวางแผนการในการผลิตเพิ่มขึ้นได้

การคิดราคาต้นทุน มีอยู่ 2 วิธี คือ

 1. ต้นทุนทางตรง หมายถึง ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบที่จะนำมาประกอบการผลิต รวมทั้งค่าขนส่ง
     2. ต้นทุนทางอ้อม หมายถึง ต้นทุนที่จ่ายสำหรับบริการต่าง ๆ เช่น ค่าแรง ค่าไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิง โดยมากจะคิดเป็น 30% ของต้นทุนทางตรง แล้วนำต้นทุนทั้ง 2 อย่างมาคิดรวมกัน ก็จะได้ต้นทุนรวม
จากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้

การตั้งราคาขาย จะต้องคำนึงถึง
     1. ต้นทุนทางตรง
     2. ต้นทุนทางอ้อม
    3. กำไรที่เหมาะสม ผู้ผลิตจะคิดเพิ่มประมาณ 20 - 30% ของต้นทุนรวม นั่นคือ การคิดกำไรนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 9.           การลงบัญชีรายรับ-รายจ่าย 

การทำบัญชี คือ การบันทึกรายการซื้อขายทุกอย่างในการดำเนินธุรกิจ ที่สามารถคิดเป็นตัวเงินได้ไว้เป็นหลักฐาน ดังตัวอย่างนี้

วัน เดือน ปี

รายรับ

จำนวนเงิน

วัน เดือน ปี

รายจ่าย

จำนวนเงิน

หมายเหตุ

บาท

สต.

บาท

สต.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

2 เมษายน 2552

ขายคอมพิวเตอร์

20,000

-

2 เมษายน 2552

ซื้ออุปกรณ์

10,000

-

 

 

 

 

 

 

 

 

-

 

 

 

 

 

 

 

 

-

 

 

 

 

 

 

 

 

-

 

10 เมษายน 2552

ขายโน้ตบุ๊ก

20,300

-

10 เมษายน
2537

ซื้อ จอคอมพิวเตอร์

15,000

-

 

 

ขาย CD 1 แพค

 100

 

 

เมาส์

150

-

 

 

 

 

 

 

แป้นพิมพ์

350

-

 

 

 

 

 

 

 

 

-

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รวมรับ

40,400

-

 

รวมจ่าย

25,500

-

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 10.                                    การเสียภาษีร้านค้า/ภาษีป้าย/ภาษีรายได้/อื่นๆ 

การเสียภาษีป้าย

 - เจ้าของป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.๑) ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ของทุกปี

 สถานที่ติดต่อเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย

 - ป้ายในเขตเทศบาลไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย และชำระเงินที่สำนักเทศบาล

 - ป้ายนอกเขตเทศบาลไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย และชำระเงินที่ที่ว่าการอำเภอ

 - ป้ายในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายและชำระเงิน ณ สำนักงานเขตและสำนักงานเขตสาขา ที่ป้ายติดตั้งอยู่

 หลักฐานที่ต้องนำไปแสดงและยื่นเพื่อเสียภาษี

 - ทะเบียนการค้า หรือ

 - หนังสือรับรอง การจดทะเบียนบริษัท

 ค่าธรรมเนียม

 - การขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ

 

  1. 11.                                       การมีกิจนิสัย, คุณธรรม, จริยธรรม และ คานิยมที่ดี ในการประกอบอาชีพ

ผู้ประกอบธุรกิจหรือนักธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้เกิดกิจกรรมร่วมกันของคนในสังคม โดยมีนักธุรกิจเป็นกลไกในการ
เชื่อมโยง ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติดีและศรัทธาในวิชาชีพของตน เป็นแบบอย่าง
ที่ดีแก่เพื่อนร่วมอาชีพ อันส่งผลให้เกิดการยอมรับจากคนทั่วไปในสังคม และสามารถทำให้ธุรกิจดำรงอยู่ได้
และเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งจรรยาบรรณของธุรกิจคือ หลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจยึดเป็นแนวทางการ
ประพฤติในการดำเนินอาชีพ โดยกำหนดตามบทบาทหลักดังนี้
               1.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อลูกค้า
               2.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อผลิตภัณฑ์
               3.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อคู่แข่งขัน
               4.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อส่วนราชการ
               5.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อพนักงาน
               6.  จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจต่อสังคม
               7.  จรรยาบรรณของพนักงานต่อผู้ประกอบธุรกิจ